เมนู

พึงกระทำให้เป็นเขม่า โปรยไปด้วยลมแรง หรือพึงลอยไปเสียในแม่น้ำ
มีกระแสอันเชี่ยว ท้าวเธอตรัสอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า ชื่อว่าพิณนี้
ไม่ได้สติ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะเลวทรามกว่าพิณนี้ไม่มี เพราะพิณนี้ คนต้อง
มัวเมา ประมาทหลงใหลจนเกินขอบเขต ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุก็ฉันนั้นนั่นแล ย่อมแสวงหาคติแห่งรูป คติแห่งเวทนา...สัญญา ...
สังขารทั้งหลาย... วิญญาณเท่าที่มีอยู่ เมื่อเธอแสวงหาคติแห่งรูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณเท่าที่มีอยู่ ความยึดถือโดยคติของภิกษุนั้นว่าเรา
หรือว่าของเรา หรือว่าเป็นเรา แม้นั้นก็ไม่มีแก่เธอ
จบ วีณาสูตรที่ 9

อรรถกถาวีณาสูตรที่ 9


ในวีโณปมสูตรที่ 8 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
พระศาสดาทรงเริ่มคำว่า ยสฺส กสฺสจิ ภิกฺขเว ภิกฺขุสฺส วา
ภิกฺขุนิยา วา
ดังนี้ไว้ เพื่อแสดงว่า เปรียบเหมือนว่า มหากุฏุมพี
ทำกสิกรรมมาก เสร็จนาได้ข้าวกล้าแล้ว สร้างปะรำไว้ที่ประตูเรือน เริ่ม
ถวายทานแด่สงฆ์ทั้งหลาย. ถึงแม้เขาจะตั้งใจถวายแด่พระสงฆ์ทั้งสองฝ่าย
( เท่านั้น ) ก็จริง ถึงกระนั้น เมื่อบริษัททั้งสองฝ่าย อิ่มหนำสำราญแล้ว
แม้ชนที่เหลือก็พลอยอิ่มหนำสำราญไปด้วยฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็
ฉันนั้นเหมือนกัน ทรงบำเพ็ญบารมีมา 4 อสงไขยเศษ ทรงบรรลุพระ-
สัพพัญญุตญาณ ที่ควงโพธิพฤกษ์ ทรงแสดงธรรมจักรอันประเสริฐ
1. ปาฐะว่า ปติฏฺฐาปิตํ ฉบับพม่าเป็น ปฏฺฐิตํ แปลตามฉบับพม่า

ประทับนั่งที่พระเชตวันมหาวิหาร เมื่อประทานธรรมบูชา แก่ภิกษุบริษัท
และภิกษุณีบริษัท จึงทรงปรารภวีโณปมสูตร. ก็วีโณปมสูตรนี้นั้น ถึงจะ
ทรงปรารภหมายเอาบริษัททั้งสอง ( เท่านั้น ) ก็จริง ถึงกระนั้น ก็มิได้
ทรงห้ามบริษัทที่ 4. เพราะฉะนั้น แม้บริษัททั้งมวล ก็ควรฟังได้ ทั้งมี
ศรัทธาได้ด้วย ทั้งบำเพ็ญให้บริบูรณ์แล้ว1 ก็จะได้ดื่มอรรถ แห่พระ-
ธรรมเทศนานั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น ในบทว่า ฉนฺโท เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัย
ดังต่อไปนี้ .
ตัณหาที่มีกำลังอ่อนแรกเกิด ชื่อว่า ฉันทะ ฉันทะนั้นไม่สามารถ
เพื่อให้กำหนัดได้. แต่ตัณหาที่มีกำลัง เมื่อเกิดขึ้นบ่อย ๆ จึงชื่อว่า ราคะ
ราคะนั้นสามารถทำให้กำหนัดยินดีได้. ความโกรธที่มีกำลังน้อย แรกเกิด
ไม่สามารถ2เพื่อจะถือท่อนไม้เป็นต้นได้ ชื่อว่าโทสะ. ส่วนความโกรธที่มี
กำลังมาก เกิดขึ้นติดต่อกันมา สามารถจะทำการเหล่านั้นได้ ชื่อว่า ปฏิฆะ.
ส่วนความไม่รู้ที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งความหลงและความงมงาย ชื่อว่า
โมหะ. เมื่อเป็นเช่นนั้น ในสูตรนี้ เป็นอันท่านสงเคราะห์อกุศลมูล 3
ไว้ด้วยบทที่ 5. เมื่อถือเอาอกุศลมูลเหล่านั้นแล้ว กิเลสที่มีอกุศลธรร่ม
เหล่านั้นเป็นมูล ก็เป็นอันทรงหมายเอาแล้วแล.
อีกอย่างหนึ่ง ด้วยบททั้ง 2 ว่า ฉนฺโท ราโค นี้ เป็นอันทรง
หมายเอา จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภจิต 8 ดวง.
1. ปาฐะว่า ปริโยคาหิตฺวา ปสฺส ฉบับพม่าเป็น ปริโยคาหิตฺวา จสฺส แปลตาม
ฉบับพม่า.
2. ปาฐะว่า สมตฺโถ ฉบับพม่าเป็น อสมตฺโถ แปลตามฉบับพม่า.

ด้วยบททั้ง 2 ว่า โทโส ปฏิฆํ เป็นอันทรงหมายเอาจิตตุปบาท
ที่สหรคตด้วยโทมนัส 2 ดวง.
ด้วยบทว่า โมหะ1 เป็นอันทรงหมายเอาจิตตุปบาทที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะและวิจิกิจฉา สองดวง ปราศจาก โลภะ และโทสะ. สรุปแล้วเป็น
อันทรงแสดงจิตตุปบาท ( ฝ่ายอกุศล ) 12 ดวง ทั้งหมดไว้แล้ว.
บทว่า สภโย ความว่า มีภัย เพราะเป็นสถานที่อยู่อาศัยของ
พวกโจรคือกิเลส.
บทว่า สปฺปฏิกโย ความว่า มีภัยเฉพาะหน้า เพราะเป็นเหตุ
แห่งการฆ่า และการจองจำเป็นต้น.
บทว่า สกณฺฏโก ความว่า มีหนาม เพราะมีหนามมีราคะ2 เป็นต้น
บทว่า อุมฺมคฺโค ความว่า ไม่ใช่ทางสำหรับผู้จะดำเนินไปสู่เทวโลก
มนุสสโลก หรือพระนิพพาน.
บทว่า กุมฺมคฺโค ความว่า ชื่อว่าทางชั่ว เพราะเป็นทางให้ถึงอบาย
เหมือนทางเท้าที่ทอดไปสู่สถานที่ซึ่งน่ารังเกียจ สะอิดสะเอียน.
บทว่า ทุหิติโก มีอรรถวิเคราะห์ว่า ชื่อว่า อิริยนา เพราะเป็น
ที่ดำเนินไป. ทางชื่อว่า ทุหิติโก เพราะเป็นที่ไปลำบาก.
เพราะว่าทางใด ไม่มีของขบเคี้ยว มีมูลผลาหารเป็นต้น หรือของ
ลิ้ม ทางนั้นมีการไปลำบาก. คนเดินไปทางนั้นแล้ว ไม่สามารถจะถึงที่
มุ่งหมายได้ (ฉันใด) คนดำเนินไปแม้สู่ทางคือกิเลส ก็ไม่อาจถึงสัมปัตติภพ
1. โมหมานโทสรหิตา ฉบับพม่า โมหปเทน โลภโทสรหิตา แปลตามฉบับพม่า
2. ปาฐะว่า ราคาทีหิ กณฺฏโก ฉบับพม่าเป็ฯ ราคาทีหิ กณฺฏเกหิ แปลตามฉบับพม่า.

ได้ ( ฉันนั้น ) เพราะฉะนั้น ทางคือกิเลสพระองค์จึงตรัสว่า ทุหิติโก
(เป็นทางที่ไปลำบาก). ปาฐะว่า ทฺวีหิติโก ก็มี. ความหมายก็แนวเดียว
กันนั่นแหละ.
บทว่า อสปฺปุริสเสวิโต ความว่า เป็นทางที่อสัตบุรุษ มีพระ-
โกกาลิกะเป็นต้น เดินไปแล้ว.
บทว่า ตโต จิตฺตํ นิวารเย ความว่า พึงห้ามจิตนั้นที่เป็นไป
แล้วด้วยอำนาจแห่งฉันทะเป็นต้น จากรูปเหล่านั้น ที่จะพึงรู้แจ้งได้ทาง
จักษุ ด้วยอุบาย มีการระลึกถึงอสุภารมณ์เป็นต้น อธิบายว่า เมื่อความ
กำหนัดในเพราะอิฏฐารมณ์ เกิดขึ้นในจักษุทวาร จิตของผู้ระลึกถึง (มัน)
โดยความเป็นอสุภะ จะหมุนกลับ. เมื่อความขัดเคืองในเพราะอนิฏฐารมณ์
เกิดขึ้น จิตของผู้ระลึกถึงมัน โดยเมตตา จะหมุนกลับ. เมื่อความหลง
ในเพราะมัชฌัตตารมณ์เกิดขึ้น จิตของผู้ระลึกถึงการสอบถามอุทเทส
การอยู่กับครู จะหมุนกลับ. แต่บุคคลเมื่อไม่สามารถทำอย่างนี้ได้ ควร
ระลึกถึง ความที่พระศาสดาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ความที่พระธรรมเป็นสวาก-
ขาตธรรม และความปฏิบัติชอบของพระสงฆ์. เพราะว่าเมื่อภิกษุพิจารณา
ความที่พระศาสดาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ก็ดี ความที่พระธรรมเป็นสวากขาตธรรม
ก็ดี พิจารณาการูปฏิบัติชอบของพระสงฆ์ก็ดี จิตจะหมุนกลับ. ด้วยเหตุนั้น
จึงได้กล่าวไว้ว่า อสุภาวชฺชนาทีหิ อุปาเยหิ นิวารเย.
บทว่า กิฏฺฐํ ได้แก่หัวคล้าที่เกิดขึ้นในที่ ๆ แออัด. บทว่า สมฺปนฺนํ
ได้แก่บริบูรณ์แล้ว คืองอกงามดีแล้ว. บทว่า กิฏฺฐาโต ได้แก่เคี้ยวกิน
ข้าวกล้า.
1. ปาฐะว่า สุปฏิปตฺติ ฉบับพม่าเป็น สุปฏิปตฺติ แปลตามฉบับพม่า.

ในบทว่า เอวเมว โข นี้ พึงเห็นเบญจกามคุณเหมือนข้าวกล้า
ที่สมบูรณ์แล้ว. จิตโกง พึงเห็นเหมือนโคที่กินข้าวกล้าในที่แออัด เวลา
ที่ภิกษุละทั้งสติ ( ปล่อยใจ ) เที่ยวไปในทวารทั้ง 6 เหมือนกับในเวลาที่
ผู้เฝ้าข้าวกล้าประมาทฉะนั้น. ภาวะที่ภิกษุไม่ได้บรรลุสามัญญผล เพราะ
ธรรมฝ่ายกุศลเสื่อมไป ในเมื่อจิตอาศัยการอยู่ปราศจากสติ มีหน้าที่รักษา
ทวาร 6 ชอบใจเบญจกามคุณ พึงทราบว่าเหมือนเจ้าของข้าวกล้าไม่ได้
รับผลแห่งข้าวกล้า เพราะข้าวกล้าที่กำลังท้อง ถูกโคกิน โดยอาศัยความ
ประมาทของผู้รักษาข้าวกล้า ฉะนั้น.
บทว่า อุปริฆฏาย1 ได้แก่ในระหว่างเขาทั้งสอง. บทว่า สุนิคฺคหิตํ
นิคฺคณฺเหยฺย ความว่า จับให้มั่นที่เชือกสนสะพายที่พาดอยู่เหนือเขา
บทว่า ทณฺเฑน ความว่า ด้วยตะพด มีลักษณะคล้ายค้อน
บทว่า เอวํ หิ โส ภิกฺขเว โคโณ ความว่า โคนั้นอาศัย.
ความเผลอของคนเฝ้าข้าวกล้าอย่างนี้แล้ว ในขณะที่อยากจะกินข้าวกล้า
จะถูกเจ้าของปราบให้หมดพยศ โดยการกำหราบ ตี แล้วปล่อยไปอย่างนี้.
บทว่า เอวเมว โข ความว่า แม้ในพระสูตร2นี้ กามคุณทั้ง 5
พึงเห็นเป็นเหมือนข้าวกล้าที่สมบูรณ์. จิตโกง พึ่งเห็นเป็นเหมือนโคที่
ชอบกินข้าวกล้า. การไม่ปล่อยสติไปในทวารทั้ง 6 ของภิกษุนี้ พึงเห็น
เป็นเหมือนความไม่เผลอ ของผู้เฝ้าข้าวกล้า. พระสูตร3เปรียบเหมือนไม้
1. ปาฐะว่า ฆาตานํ ฉบับพม่าเป็น ฆฏายํ แปลตามฉบับพม่า.
2. ปาฐะว่า อิทานิป ฉบับพม่าเป็น อิธาปิ แปลตามฉบับพม่า.
3. ปาฐะว่า สุตฺตโต ฉบับพม่าเป็น สุตฺตนฺโต แปลตามฉบับพม่า.

ตะพด. การระลึกถึงพระสูตรนั้น ๆ ในบรรดาพระสูตรทั้งหลายมี อนมตคฺ-
คิยสูตร เทวทูตสูตร อาทิตตสูตร อาสีวิสูปมสูตร อนาคตภยสูตร เป็นต้น
ในเวลาที่จิตมุ่งหน้าสู่อารมณ์หยาบในภายนอก1 แล้วหักห้ามจิตตุปบาทไว้
จากอารมณ์ที่หยาบ แล้วหยั่งลงในมูลกัมมัฏฐาน พึงทราบว่า เป็นเหมือน
การตีโคด้วยไม้ตะพด ในเวลาที่มันบ่ายหน้าลงสู่ข้าวกล้า.2
ด้วยเหตุนั้น พระโบราณาจารย์จึงได้กล่าวไว้ว่า :-
เพราะได้ฟังพระสูตรที่ตรัสดีแล้ว ใจจึงผ่อง
สงบ และจิตนั้นจะประสบปีติและสุข ในเวลานั้น
ใจของเธอจะดำรงอยู่ในอารมณ์ (แห่งกัมมัฏฐาน)
เหมือนโคที่กินข้าวกล้า ถูกหวดด้วยตะพดฉะนั้น.

บทว่า อุทุชิตํ แปลว่า จิตอันภิกษุข่มแล้ว. บทว่า สุทุชิตํ
แปลว่า กายเป็นจิตอันภิกษุข่มไว้ดีแล้ว. อธิบายว่า อันเธอชนะแล้วด้วย
ดีบ้าง. บทว่า อุทุ สุทุ3 นี้เป็นเพียงนิบาตท่านนั้น. บทว่า อชฺฌตฺตํ
แปลว่า มีอารมณ์เป็นภายใน. ในบทว่า สนฺติฏฺฐติ เป็นต้น มีอธิบายว่า
สงบอยู่ด้วยอำนาจแห่งปฐมฌาน สงบนิง ด้วยอำนาจแห่งทุติยฌาน เป็นจิต
มีธรรมอย่างเอกผุดขึ้น ด้วยอำนาจแห่งตติยฌาน ตั้งมั่นด้วยอำนาจแห่ง
1. ปาฐะว่า ปุถุตฺตารมมณาภิมุขกาโล. อมนตคฆิย...ฉบับพม่าเป็น ปุถุตารมฺมณา
ภิมุขกาเล อนมตคฺคิย...แปลตามฉบับพม่า.
2. ปาฐะว่า กิฏฺฐาภิมุขกาโล. ทณฺเฑน ฉบับพม่าเป็น กิฏฐาภิมุขกาเล ทณฺเฑน
แปลตามฉบับพม่า
3. ปาฐะว่า อุรุ สุรุติ ฉบับพม่าเป็น อุทุ สุทุ และตรงตามฉบับพม่า.

จตุตถฌาน อีกอย่างหนึ่งคำทั้งหมดนี้ พึงทราบด้วยอำนาจปฐมฌาน. จริง
อยู่ ธรรมดาอินทริยสังวรสีล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า เป็นการ
อนุรักษ์สมถะ ด้วยคำมีประมาณเท่านี้.
บทว่า รญฺโญ วา หมายถึงเจ้าเมืองชายแดนลางองค์นั้นเอง.
บทว่า สทฺทํ สุเณยฺยํ ความว่า ตื่นบรรทมในเวลาเช้า พึงได้
สดับเสียงพิณอันไพเราะ ที่นักพิณผู้ชำนาญดีดอยู่.
ในบทว่า รชนีโย เป็นต้น มีอธิบายว่า ชื่อว่า รชนีโย เพราะ
ให้จิตยินดี. ชื่อว่า กมนีโย เพราะชอบให้ใคร่. ชื่อว่า มทนีโย เพราะ
( ทำให้ ) จิตมัวเมา ชื่อว่า มุจฺฉนีโย เพราะหลงโดยเป็นเหมือนทำจิตให้
ลุ่มหลง. ชื่อว่า พนฺธนีโย เพราะผูกพันไว้โดยยืดถือเหมือนผูกมัดไว้.
บทว่า อลํ เม โภ ความว่า เมื่อเห็นสัณฐานของพิณแล้วไม่
ปรารถนา จึงกล่าวอย่างนี้.
บทว่า อุปธารเณ ได้แก่ ลูกบิด ( สำหรับขึ้นสาย ).
บทว่า โกณํ ได้แก่ ไม้แก่น 4 เหลี่ยม.
บทว่า โส ตํ วีณํ ความว่า พระราชานั้น รับสั่งว่า ท่านทั้งหลาย
จงนำพิณนั้นมา เราจะดูเสียงของมัน แล้วทรงจับพิณนั้น.
ในบทว่า ทสธา วา เป็นต้น มีอธิบายว่า พึงผ่าออกเป็น 10 เสี่ยง
ก่อน. ครั้นพระองค์ไม่เห็นเสียงของมัน จึงทรงผ่าออกเป็น 100 เสี่ยง1
เมื่อไม่ทรงเห็นอย่างนั้น จึงทรงสับเป็นชิ้น ๆ เมื่อไม่ทรงเห็นอย่างนั้น
1. ปาฐะ สตฺตธา แต่ในบาลี และฉบับพม่าเป็น สตธา จึงแปลตามนั้น.

จึงทรงพระดำริว่า จักเผาชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่วนเสียงจะหนีออกไป คราวนั้น
เราจักเห็นมัน ดังนี้แล้ว จึงใช้ไฟเผา เมื่อไม่ทรงเห็นอย่างนั้น จึงทรง
พระดำริว่า ละอองเขม่าที่เบา ๆ จักปลิวไปตามลม ส่วนเสียงจักออกไป
ตกลงใกล้เท้าเหมือนข้าวสารข้าวเปลือก. เมื่อนั้น เราจักเห็นมัน แล้วทรง
โปรยไปที่ลมแรง ๆ. แม้อย่างนั้นก็ไม่ทรงเห็น จึงทรงพระดำริว่า ละออง
เขม่าจักลอยไปตามน้ำ ส่วนเสียงจักข้ามออกไป เหมือนคน (ข้าม) ไปสู่ฝั่ง1
เมื่อนั้นเราจักเห็นมัน จึงทรงลอยมันไป ตามแม่น้ำที่มีกระแสเชี่ยว.
บทว่า เอวํ วเทยฺย ความว่า พระราชาเมื่อไม่ทรงเห็นด้วยอุบายวิธี
เหล่านี้ แม้ทุกอย่าง จึงตรัสกับคนเหล่านั้นอย่างนี้.
บทว่า อสติ กิรายํ ความว่า ได้ยิน พิณนี้ไม่ได้สติ. อธิบายว่า
เป็นพิณชั้นเลว. บทว่า อสติ นี้ เป็นคำเรียกถึงสิ่งที่ลามก.
สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
อสา โลกิตฺถิโย นาม เวลา ตาสํ น วิชฺชติ
สารตฺตา จ ปคพฺภา จ สิขี สพฺพฆโส ยถา

ขึ้นชื่อว่าหญิงประโลมโลก ลามก2 ทั้งร่าน ทั้งคะนอง ไม่มีขอบเขต
เหมือนไฟที่กินไม่เลือก3ฉะนั้น.
บทว่า ยเถวํ ยงฺกิญฺจิ วีณา นาม มีอธิบายว่า ไม่ใช่พิณ
อย่างเดียวเท่านั้นที่เลว ถึงสิ่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับดนตรีทุกชนิดก็เลวเหมือน
พิณนั่นแหละ4.
1. ปาฐะว่า จารํ คจฺฉนฺโต ปุริโส วิย นิกฺขมิตฺวา ปติสฺสติ ฉบับพม่าเป็น ปารํ
คจฺฉนฺโต ปุริโส วิย นิกฺขมิตฺวา ตริสฺสติ แปลตามฉบับพม่า
2. ปาฐะว่า อสฺสา ฉบับพม่าเป็น อสา แปลตามฉบับพม่า
3. ปาฐะว่า สพฺพโส ฉบับพม่าเป็น สพฺพฆโส แปลตามฉบับพม่า
4. ปาฐะว่า ยเถว ปน อยํ วีณาเยว ลามิกา ยเถวสฺส อยํ วีณา นาม. เอวํ
ยงฺกิญฺจิ อญฺญมํปิ ตนฺติพทฺธํ สพพํ ลามกเมวาติ อตฺโถ. ฉบับพม่าเป็น
ยเถ ปน อยํ วีณา นาม. เอวํ ยงฺกิญฺจิ อญฺญมฺปิ ตนฺติพทฺธํ สพฺพํ ตํ
ลามกเมวาติ อตฺโถ แปลตามฉบับพม่า.

พึงทราบวินิจฉัย ในบทว่า เอวเมว โข นี้ ดังต่อไปนี้ :-
เบญจขันธ์ พึงทราบว่า เหมือนพิณ. พระโยคาวจรพึงทราบว่า เหมือน
พระราชา พระราชานั้น จำเดิมแต่ทรงผ่าพิณนั้นออก เป็น 10 เสี่ยง
แล้วทรงใคร่ครวญดู ก็ไม่ทรงเห็นเสียง จึงไม่มีประสงค์พิณฉันใด พระ-
โยคาวจร ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อพิจารณาเบญจขันธ์ ไม่เห็นอะไรที่จะ
พึงถือเอาว่าเรา หรือของเรา ก็ไม่มีความประสงค์ด้วยขันธ์. ด้วยเหตุนั้น
เมื่อจะทรงแสดงการพิจารณาขันธ์นั้นแก่ภิกษุนั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า รูปํ
สมนฺเนสติ ยาวตา รูปสฺส คติ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมนฺเนสติ ได้แก่ ปริเยสติ ( แปลว่า
แสวงหา ).
บทว่า ยาวตา รูปสฺส คติ ความว่า คติของรูปมีประมาณเท่าใด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คติ ได้แก่คติ 51 อย่าง คือ คติคติ 1
สัญชาติคติ 1 สลักขณคติ 1 วิภวคติ 1 เภทคติ1.

บรรดาคติทั้ง 5 นั้น ขึ้นชื่อว่า รูปนี้ จะท่องเที่ยวหมุนเวียนไป
ในระหว่างนี้ เบื้องต่ำ จดอเวจีนรก เบื้องบน จดพรหมโลกชั้นอกนิษฐ์
การท่องเที่ยวหมุนเวียนไปนี้ ชื่อว่า คติคติ ของรูปนั้น.
อนึ่งกายนี้ ไม่ใช่เกิดที่กลีบบัวหลวงเลย ไม่ใช่เกิดที่กลีบบัวเขียว
และดอกบัวขาบเป็นต้น แต่เกิดที่ระหว่างท่ออาหารใหม่ และท่ออาหารเก่า
คือในโอกาสที่มืดมนเหลือหลาย ที่เป็นที่ท่องเที่ยวไปในป่าที่มีกลิ่นเหม็น
น่าเกลียดอย่างยิ่ง เหมือนหนอนที่เกิดในปลาเน่า เป็นต้น นี้ชื่อว่า
สญฺชาติคติ ของรูป.
1. ปาฐะว่า พหุวิธา ฉบับพม่าเป็น ปญฺจวิธา แปลตามฉบับพม่า.

ก็ลักษณะของรูป มีสองอย่าง คือ ปัจจัตตลักษณะ กล่าวคือ การ
ย่อยยับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่ารูป
เพราะอรรถว่า ย่อยยับไป 1 สามัญญลักษณะ คือความไม่เทียงเป็นต้น 1
นี้ชื่อว่า สลักขณคติ ของรูปนั้น.
ความไม่มีแห่งรูป ท่านกล่าวไว้อย่างนั้น :-
ป่าใหญ่ เป็นคติของเนื้อทั้งหลาย
อากาศเป็นคติ ของปักษีทั้งหลาย
วิภพ ( สภาวะที่ปราศจากภพ ) เป็นคติของธรรมทั้งหลาย.
พระนิพพาน เป็นคติของพระอรหันต์

ชื่อว่า วิภวคติ. ก็ความแตกต่างแห่งรูปนั้น1 นี้ชื่อว่า เภทคติ. แม้ใน
เวทนาเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. แท้จริง ในที่นี้ พึงทราบคติว่าเป็นที่
เกิดแห่งรูปเหล่านั้น ( ว่าเกิดใน ) เบื้องบน จนถึงภวัคคพรหมอย่างเดียว.
แต่ในสลักขณคติ2 พึงทราบลักษณะเฉพาะอย่าง ด้วยสามารถ แห่งการ
เสวย การจำได้ การปรุงแต่ง และการรู้แจ้ง.
บทว่า ตมฺปิ ตสฺส น โหติ ความว่า แม้การยึดถือ 3 อย่าง
ในรูปารมณ์เป็นต้น ด้วยอำนาจ ทิฏฐิ ตัณหา และ มานะ3 ที่ท่าน
แสดงไว้อย่างนี้ว่า เรา ว่า ของเรา หรือว่า เราเป็นนั้น ก็ไม่มีแก่
พระขีณาสพนั้น รวมความว่า พระสูตรชื่อว่าเป็นไปตามลำดับ. ด้วย
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ ในมหาอัฏฐกถาว่า
1. ปาฐะว่า โสมมนสฺส ฉบับพม่าเป็น โส ปนสฺส แปลตามฉบับพม่า
2. ปาฐะว่า สลกฺขณคติ อยญฺจ ฉบับพม่าเป็น สลกฺขณคติยํ จ แปลตามฉบับพม่า
3. ปาฐะว่า ทิฏฺฐิตณฺหามาน คาหตฺตยตํ ขีณาสวสฺส ฉบับพม่าเป็น ทิฏฺฐิตณฺหา-
มานคฺคาหตฺตยํ ตมฺปิ ตสฺส แปลตามฉบับพม่า.

ศีลท่านกล่าวไว้ในเบื้องต้น สมาธิ และภาวนา
ท่านกล่าวไว้แล้ว ในท่ามกลาง และนิพพาน
กล่าวไว้ในที่สุด ข้ออุปมาด้วยพิณนี้ พระผู้มี-
พระภาคเจ้า ทรงแสดงไว้แล้ว ดังนี้.

จบ อรรถกถาวีณาสูตรที่ 9

10. ฉัปปาณสูตร


ว่าด้วยภิกษุผู้เป็นเสี้ยนหนามของชาวบ้าน


[306] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้มีตัวเป็นแผล มีตัวเป็นพุพอง
พึงเข้าไปสู่ป่าหญ้าคา ถ้าแม้หน่อหญ้าคาพึงตำเท้าของบุรุษนั้น ใบหญ้าคา
พึงบาดตัวที่พุพอง บุรุษนั้นพึงเสวยทุกข์โทมนัส ซึ่งมีการตำและการบาดนั้น
เป็นเหตุ โดยยิ่งกว่าประมาณ แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบางรูป
ในธรรมวินัยนี้ อยู่ในบ้านก็ดี อยู่ในป่าก็ดี ย่อมได้บุคคลผู้กล่าวท้วงว่า
ท่านผู้นี้แล กระทำอย่างนี้ มีสมาจารอย่างนี้ เป็นผู้ไม่สะอาด และเป็น
หนามของชาวบ้าน. ครั้นทราบ ภิกษุนั้นว่า เป็นผู้ไม่สะอาด และเป็น
เสี้ยนหนามแห่งชาวบ้านอย่างนี้แล้ว พึงทราบอสังวรและสังวร ต่อไป.

ว่าด้วยอสังวรและสังวรเปรียบด้วยคนจับสัตว์ 6 ชนิด


[347] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสังวรเป็นอย่างไร. ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ย่อมน้อมใจไปในรูปอันน่ารัก ย่อม
ขัดเคืองในรูปอันไม่น่ารัก ย่อมไม่เป็นผู้เข้าไปตั้งกายสติไว้ มีใจมีประมาณ